เช็คสิทธิการรับเงินประกันรายได้ ข้าว ยางพารา ข้าวโพด สำหรับเกษตรกร

1492

เกษตรกรที่เป็นชาวนา สามารถเช็ค ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. โอนเงินได้แล้ว กดที่ลิงค์ https://chongkho.inbaac.com/

สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากภาครัฐบาลที่ รัฐหวังออกมาเพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรทั้งผู้ปลูกข้าว ยางพารา และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้มีรายได้พร้อมกับเป็นเกาะป้องกันความเสี่ยงด้านราคาเพื่อที่จะไม่ให้เหล่าเกษตรกรประสบปัญหาขาดทุน ทำให้โครงการ ประกันรายได้เกษตรกร ถือกำเนิดขึ้น โดยโครงการนี้จะครอบคลุมเกษตรกรทั้งผู้ปลูกข้าว ยางพารา และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  ดังนั้นในวันนี้เรามาทำความรู้จักเหล่าโครงการ  ประกันรายได้เกษตรกร กันให้ากยิ่งขึ้นพร้อมก้บเช็คสิทธิการรับเงินประกันรายได้ว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

 

ประกันรายได้เกษตรกร “ข้าว”

มาตรการประกันราคาข้าวให้ชาวนา เป็นมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรภายใต้กรอบวงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมเกษตรกร 4.5 ล้านราย โดยเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด (ภายใน 3 วันทำการ) นับตั้งแต่วันที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบ

เกษตรกรที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

ต้องขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรฯและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 ตุลาคม 2563 ยกเว้นภาคใต้ ต้องเป็นผู้ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564
เข้าร่วมโครงการได้แปลงละ 1 ครั้งเท่านั้น โดยต้องแจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยว เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วงเวลาที่เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชย สำหรับหลักเกณฑ์ของประกันรายได้ข้าวนั้น ครอบคลุม 5 ชนิด โดยต้องมีความชื้นไม่เกิน 15% ได้แก่

  • 1. ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 14 ตัน
  • 2. ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน
  • 3. ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ตัน
  • 4. ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ตัน
  • 5. ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน

 
ประกันรายได้เกษตรกร “ยางพารา”

มาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ครั้งนี้เป็นระยะที่ 2 วงเงินโครงการรวม 10,042 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ปลูกยางพาราราว 18 ล้านไร่ และเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจะได้รับประโยชน์กว่า 1.8 ล้านราย โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จะทำการตรวจสอบและรับรองสิทธิ ประมวลผลส่งไปยัง ธ.ก.ส. เพื่อโอนเงินให้เกษตรกรโดยตรง ส่วนระยะเวลาโครงการ เดือนกันยายน 2563 – กันยายน 2564 (ประกันรายได้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – 1 มีนาคม 2564) ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกประมาณต้นเดือนธันวาคม 2563 โดย เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่การปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 สวนยางพาราต้องมีอายุ 7 ปีขึ้นไป ที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ โดยจะต้องมีการแบ่งสัดส่วนรายได้รายได้เป็น เจ้าของสวนยาง 60% และคนกรีด 40% ของรายได้ทั้งหมด หากเจ้าของสวนยางกรีดเอง จะได้รับส่วนต่างประกันรายได้ทั้งจำนวน
ขณะที่ หลักเกณฑ์ ประกันรายได้ยาง 3 ชนิด ได้แก่

  • 1.ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม
  • 2.น้ำยางสด (DRC 100%) ราคา 57 บาทต่อกิโลกรัม
  • 3.ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาทต่อกิโลกรัม

โดยกำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ คือ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จำนวนไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จำนวนไม่เกิน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน

ประกันรายได้เกษตรกร “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์”

ขณะเดียวกันอีกหนึ่งมาตรการที่ช่วยเหลือเกษตรกร คือ โครงการประกันรายได้เกษตรกรสำหรับผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563/64 ซึ่งมีการกำหนดว่าจะต้องเป็นข้าวโพดที่มีความชื้น 14.5% ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ ยกเว้นพื้นที่ที่แจ้งขึ้นทะเบียนปลูกเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ หลักเกณฑ์เบื้องต้นคือ เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนปลูกข้าวฌพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 – 31 พฤษภาคม 2564 รวมถึงต้องเป็นเกาตรกรผู้ปลูกข้าวโพดด้วยตัวเองและกรรมสิทธิ์เป็นของเกษตรกร โดยกำหนดราคาประกันรายได้อยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ และไม่ซ้ำแปลง ซึ่งจะเริ่มจ่ายชดเชยได้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 20 ของเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

 

สุดท้ายนี้ก่อนจากกันตลอดเดือนพฤศจิกายน 63 MoneyGuru พร้อมช่วยคุณประหยัดจัดโปร Shocking Sale 11.11 ลดร้อนแรงเพียงแค่ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 พร้อมรับส่วนลดเบี้ยประกันทันที 11% เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับช่วยเหลือประชาชนสำหรับการจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ ในราคาพิเศษที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในเวลานี้…!!  เนื่องจากในทุกวันนี้ การใช้รถใช้ถนนมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากผู้ใช้รถทุกคนต้องไม่ประมาทและควรระมัดระวังในการขับขี่แล้ว การทำประกันภัยรถนั้นก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้ท่านเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ